ชาวบางขันไม่เชื่อภาครัฐบังคับใช้กฎหมายเอาผิดขบวนการรุกป่าฯจริง-เผยอิทธิพลล้นฟ้าคนสำนักนายกฯประกาศฟ้องสื่อนำเสนอข่าวเปิดโปง
จากกรณี เจ้าหน้าที่ตรวจสอบจับกุม การบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ ป่าหน้าไซ-ป้านาปู “บ้านน้ำนิ่ง”หมู่ 5 ตำบลลำนาว อำเภอบางขัน จังหวัดนครศรีธรรมราช พบพื้นที่ป่า ถูกบุกรุกแผ้วถางตัดโค่นไม้ขนาดใหญ่ รวมเนื้อที่ 174 ไร่ และมีการปลูกปาล์มน้ำมันในพื้นที่แล้ว 623 ต้น เจ้าหน้าที่ยึดไม้ถุงขนาดยักษ์ใหญ่จำนวน 81 ท่อน ซึ่งเป็นไม้เนื้อแข็ง เป็นหม้ายหวงห้ามปริมาตร รวม 166.26 ลูกบาศก์เมตร มูลค่าเกือบ 2 ล้านบาท เจ้าหน้าที่ยึดรถแม็คโคร 1 คัน ทราบว่าเป็นของรองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งหนึ่ง อำเภอบางขัน จากการตรวจสอบพบว่ามีกลุ่มนักการเมืองท้องถิ่นผู้บริหารท้องถิ่นผู้นำท้องถิ่นในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชและใกล้เคียงเข้าไปมีส่วนร่วมในการแสวงหาผลประโยชน์ โดยการทยอยนำไม้สูงส่งขายโรงเลื่อยใหญ่ในพื้นที่สุราษฎร์ธานีและชุมพร โดยมีการจับกุมเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568

ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจเจ้าหน้าที่ป่าไม้ และเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.นครศรีธรรมราช ป.ป.ช.ภาค 8 ได้ลงพื้นที่ ปักป้ายตรวจยึดพื้นที่ที่ถูกบุกรุก และสอบสวนปากคำๅผู้นำท้องถิ่นคนหนึ่งซึ่งเป็นตัวการสำคัญดำเนินคดีตามกฎหมาย ในขณะที่ป่าไม้ที่ 12 นครศรีธรรมราชมีคำสั่งย้ายหัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ นศ.5(บางขัน)และตั้งคณะกรรมสอบสวนข้อเท็จจริง ในขณะที่ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราชสั่งกำชับ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องนำเดินคดีอย่างเฉียบขาด ตามที่เสนอข่าวมาแล้วนั้น
(11 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังเรื่องยาวขบวนการบุกรุกตัดไม้ทำลายป่า ยึดโครงพื้นที่ ป่าสวนแห่งชาติบ้านน้ำนิ่ง หมู่ 5 ตำบลบ้านลำเนาอำเภอบางขัน จังหวัดนครศรีธรรมราช ถูกเจ้าหน้าที่ตรวจสอบจับกุมตรวจยึดดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องและสื่อมวลชนนำเสนอข่าวอย่างกว้างขวาง ทำให้ผู้ร่วมขบวนการ พากันเก็บตัวเงียบไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ ในขณะที่ชาวบ้านทั้งอำเภอบางขัน ได้จับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ ถึงขั้นมีการพนันขันต่อกันว่า เรื่องนี้ ทางเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะสามารถดำเนินคดีและลงโทษผู้ใดได้บ้างหรือไม่โดยส่วนหนึ่งเชื่อว่าเรื่องจะเงียบหายไปเหมือนทุก ๆ ครั้งที่ผ่านมา เล่นในที่สุดป่าสงวนในพื้นจะค่อย ๆ หายไปและตกเป็นของผู้นำท้องที่ท้องถิ่นรวมทั้งนายทุนทั้งหมด

ผู้นำท้องถิ่นคนหนึ่งกล่าวว่า ขอบคุณสื่อมวลชนที่ช่วยนำเสนอข่าวเปิดโปงขบวนการลักลอบตัดไม้ทำลายป่าและยึดพื้นที่ปลูก ปาล์มน้ำมันยางพาราหรือทุเรียนในพื้นที่ตำบลบ้านลำนาว อำเภอบางขัน ในครั้งนี้ แต่ มีสื่อมวลชนทีวีช่องยักษ์ใหญ่ ช่อง 1 นำเสนอข้อมูลผิดพลาดว่าสถานที่เกิดเหตุ ป่าสงวนแห่งชาติ บ้านน้ำนิ่งหมู่ 5 ตำบลบางขัน ถึงข้อเท็จจริงบ้านน้ำนิ่งหมู่ 5 ตำบลบ้านลำนาว ผู้นำท้องถิ่นและชาวบ้านในตำบลบางขัน ขอยืนยันว่าไม่มีการ บุกรุกป่าสงวนในพื้นที่บางขันตามที่ทีวีช่องยักษ์ใหญ่นำเสนอข่าว หากเป็นไปได้ให้ช่วยแก้ไขข่าวให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริงด้วย
“ความจริงขบวนการลักลอบตัดไม้ทำลายป่าและงบที่ป่าสงวนใน อำเภอบางขันทำกันเป็นกระบวนการมานานหลายปีแล้ว โดยมีผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่ง รวมทั้งผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบางแห่งเกี่ยวข้องอย่างชัดเจนและมีนายทุนโรงเลื่อยอยู่เบื้องหลัง โดยประสานงานผ่านนายหน้าในพื้นที่ชื่อ”ส” นายทุนจะได้ผลประโยชน์จากไม้ซุงขนาดยักษ์ใหญ่ ส่วนพื้นที่ซึ่งถูกบุกรุกจะตกเป็นของผู้ใหญ่บ้านและเครือข่ายในพื้นที่อำเภอบางขัน ส่วนใหญ่จะจุดไฟเผาปรับพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันยางพาราหรือทุเรียน ส่วนในการขนย้ายไม้ซุงยักษ์จะทำกันอย่างเปิดเผย โดยการชักลากลงมาข้างล่าง เพื่อวินยกขึ้นรถบรรทุกขนาดใหญ่ ภายในตลาดนัดแห่งหนึ่ง ซึ่งมีป้อมยามตำรวจอยู่ไม่ไกลกันมากนัก โดยผู้ใหญ่บ้านจะออกเอกสารอนุญาตกำกับไม้ชุงทุกท่อน เรื่องนี้หากเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่เกี่ยวข้องเอาจริงเอาจังในการบังคับใช้กฎหมายคงไม่ยากนักในการนำตัวผู้กระทำผิดทุกคนมาลงโทษตามกฎหมาย แต่ที่ผ่านมาไม่เคยทราบข่าวว่ามีผู้นำท้องที่ผู้นำท้องถิ่น เจ้าหน้าที่รัฐและนายทุนถูกลงโทษถึงขั้นจำคุกเลย จะมีแต่ชาวบ้านที่ไปตัดไม้เพียงไม่กี่ต้นเพื่อมาสร้างบ้านเรือนที่พักอาศัยเท่านั้นที่ถูกดำเนินคดีติดคุกได้รับความเดือดร้อนและครอบครัวล่มสลาย จนชาวบางขันทราบกันเป็นอย่างดี ชาวบางขันจึงไม่เชื่อว่าทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะเข้ามาจัดการและบังคับใช้กฎหมายเอาผิดกับคนในกระบวนการลักลอบตัดไม้ทำลายป่าและงบที่ป่าสงวนอย่างเด็ดขาดจริงจัง ในครั้งนี้ อยากให้ผู้หลักผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจในบ้านเมือง ดำเนินการเอาผิดกับผู้เกี่ยวข้องอย่างจริงจังตรงไปตรงมาเสียที เจ้าบางขันจะถือว่าเป็นบุญคุณกับลูกหลานในอนาคต เป็นอย่างมาก
ผู้นำท้องถิ่นคนเดิมยังกล่าวว่า หากติดตามในโลกโซเชี่ยลที่มีการเข้าไปวิพากษ์วิจารณ์แสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวางจะพบว่ามีบุคคลผู้หนึ่งอ้างว่าประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เข้ามาแสดงความคิดเห็นในลักษณะปกป้อง ผู้ใหญ่บ้านและเครือข่ายกระบวนการบุกรุกป่าสงวนอย่างออกหน้าออกตาและยังประกาศข่มขู่ว่าจะให้ผู้ที่เกี่ยวข้องแจ้งความหรือยื่นฟ้องดำเนินคดีกับสื่อมวลชนที่นำเสนอข่าวเปิดโปงในเรื่องนี้ มันยิ่งทำให้ชาวบ้านในอำเภอบางขันไม่มั่นใจในการดำเนินการของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมากยิ่งขึ้น

ไพฑูรย์ อินทศิลา /นครศรีธรรมราช
11 มี.ค.2568