ข่าวทั่วไทย

Just another WordPress site

ข่าวทั่วไทย

Just another WordPress site

Uncategorized

แฉอีกแค่ไม่เกิน 40 เมตร คลื่นยักษ์กัดเซาะแหลมตะลุมพุกถูกตัดขาดจากแผ่นดินใหญ่-วิงวอนนายกรัฐมนตรี เร่งหาทางแก้ไขช่วยเหลือชาวบ้านโดยด่วน-เผยชาวบ้านประสบภัยพิบัติ”คลื่นยักษ์” 4 ตำบล 1,725 ครัวเรือน

จากกรณีเกิดสถานการณ์ทะเลคลื่นลมแรงประกอบกับน้ำทะเลหนุนสูงบริเวณชายฝั่งทะเล ส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่ 4 ตำบลได้แก่ ตำบลแหลมตะลุมพุก ตำบลปากพนังฝั่งตะวันออก ตำบลท่าพยา และตำบลขนาบนาก ได้รับความเดือดร้อน เส้นทางสายหลัก(สายปากพนัง – หัวไทร) , (ปากพนัง – แหลมตะลุมพุก) มีน้ำท่วมขังและเศษขยะในทะเลเกลื่อนถนน เป็นช่วง ๆ มีการช่วยเหลืออพยพประชาชนผู้ประสบภัยออกจากพื้นที่เสี่ยงภัย ในขณะที่แกนนำชาวบ้านเรียกร้องขอรัฐบาลเร่งสร้างแนวคันกั้นคลื่น ที่ยังค้างๆอีก 8 กิโลเมตรระหว่าง ตำบลปากพนังฝั่งตะวันออกถึงตำบลแหลมตะลุมพุก โดยพื้นที่ตลอดแนวชายฝั่ง ที่มีการก่อสร้างแนวกันกันคลื่นสมัยรัฐบาล คสช.ไม่ได้รับผลกระทบรุนแรง เหมือนพื้นที่ที่ไม่มีแนวกั้นคลื่น 8 กิโลเมตร ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
(13 ม.ค.) นายสมชาย ลีหล้าน้อย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์คลื่นลมแรงบริเวณอ่าวไทยอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอำเภอที่มีพื้นที่เสี่ยงติดชายฝั่งทะเลอ่าวไทย ได้กำชับให้นายอำเภอบูรณาการสรรพกำลังจากทุกภาคส่วน เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ เร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างทันท่วงที และรายงานเหตุการณ์ให้จังหวัดนครศรีธรรมราชทราบโดยทันทีซึ่งอำเภอปากพนังได้ตั้งศูนย์บัญชาการฯ ณ ห้องประชุมทับทิมสยาม ที่ว่าการอำเภอปากพนัง โดยจำนวนครัวเรือนที่ได้รับความเดือดร้อนจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ประกอบด้วย 1.ตำบลแหลมตะลุมพุก จำนวน 750 ครัวเรือน 2.ตำบลปากพนังฝั่งตะวันออก จำนวน 400 ครัวเรือน 3.ตำบลท่าพญา จำนวน 200 ครัวเรือน 4.ตำบลขนาบนาก จำนวน 375 ครัวเรือน รวมทั้งสิ้นจำนวน 1,725 ครัวเรือน ในปัจจุบันสถานการณ์ได้คลี่คลายลงในเวลา 12.30 น. และกลับเข้าสู่ภาวะปกติ เนื่องด้วยเกิดจากสถานการณ์น้ำขึ้น น้ำลง แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังสถานการณ์อีก 2-3 วัน


นายกิตติพงษ์ รองเดช นายอำเภอปากพนัง พร้อมด้วยปลัดอำเภอ สมาชิก อส.นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เจ้าหน้าที่แขวงการทาง ฯได้ลงพื้นที่ตำบลแหลมตะลุมพุก ตำบลปากพนังฝั่งตะวันออก ตำบลบางพระ ตำบลท่าพญาตำบลขนาบนาก พบว่าคลื่นในทะเลสูงประมาณ 2-3 เมตร โดยคลื่นได้ซัดเข้าฝั่งในพื้นที่ หมู่ 1 หมู่ที่ 2 และ หมู่ที่ 3 ต.แหลมตะลุมพุก เข้าท่วมบริเวณบ้านเรือนประชาชนอยู่อาศัย และไหลท่วมถนนสายแหลมตะลุมพุก -ปากพนัง-หัวไทร ทำให้การสัญจรค่อนข้างลำบาก จุดบริเวณที่ หมู่ที่ 1 และหมู่ที่ 3 ตำบลแหลมตะลุมพุกทั้งนี้ ไม่มีการอพยพประชาชนออกจากพื้นที่ ประชาชนทุกครัวเรือนได้ขนของขึ้นไว้ที่สูงปลอดภัยแล้ว ซึ่งประชาชนได้รับความเดือดร้อนในพื้นที่ตำบลแหลมตะลุมพุก หมู่ที่ 1,2,3 จำนวน 750 ครัว 1,500 คน ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายได้ติดตามและเฝ้าระวังในพื้นอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งนับว่าเป็นความโชคดีของชาวบ้านที่วันนี้(13 ม.ค.)น้ำทะเลที่หนุนสูงและคลื่นที่พัดถล่มตลอดแนวชายฝั่ง ซึ่งทุกฝ่ายคาดว่าจะรุนแรงกว่าเมื่อวานนี้(12ม.ค.) แต่ปรากฏว่า น้ำทะเลและคลื่นที่ซัดกัดเซาะตลอดแนวใจความลดน้อยลงกว่าเมื่อวานนี้ (12 ม.ค.) สร้างความดีใจให้กับชาวบ้านผู้ประสบภัยเป็นอย่างมากและเริ่มทยอยขนข้าวของที่ขนย้ายหนีภัยนำไปฝากไว้ที่วัดแหลมตะลุมพุกกลับมาบ้านบางส่วน


ในขณะที่นายไพโรจน์ หรือไพรี รัตนรัตน์ สมาชิกสภาเกษตรกร จังหวัดนครศรีธรรมราช เขตอำเภอปากพนัง ซึ่งเป็นแกนนำชาวบ้านในการเรียกร้องให้ภาครัฐให้เร่งก่อสร้างแนวคันกั้นคลื่นระหว่างตำบลปากพนังฝั่งตะวันออกและตำบลแหลมตะลุมพุกระยะทางที่เหลือ 8 กิโลเมตรให้แล้วเสร็จก่อนที่แหลมตะะลุมพุกจะถูกตัดขาดจากแผ่นดินใหญ่ ได้นำสื่อมวลชนลงตรวจสอบในพื้นที่บ้านแหลมหมู่ 3 ตำบลแหลมตะลุมพุก ซึ่งเป็นจุดที่ได้รับความเสียหายมากที่สุด โดยเฉพาะครอบครัวของนางไพจิตร แก้วแหวน อายุ 67 ปี อยู่บ้านเลขที่ 31 หมู่ 3 ตำบลแหลมตะลุมพุก อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยพบว่าครอบครัวของนางไพจิตร ได้สร้างบ้านริมถนน 2 หลัง โดยทั้งสองหลังถูกน้ำทะเลหนุนท่วมอย่างหนัก ซึ่ง 1 ใน 2 หลังถูกน้ำกัดเซาะจนตอหมอจนตอม่อหลุดหายไปทำให้บ้านทรุดเอียงทั้งหลัง ส่วนฝาผนังทางด้านทิศตะวันออกฉีกขาดหลุดหายไปทั้งแถบทรัพย์สินภายในบ้านเสียหายเกือบทั้งหมดและคงไม่สามารถอยู่อาศัยในบ้านหลังดังกล่าวได้อีกต่อไป ส่วนบนถนนคลื่นยักษ์ได้พัดพาเอาสิ่งปฏิกูลจากทะเลขึ้นมากองบนถนนเป็นระยะทางยาวกว่า 200 เมตร ทำให้การสัญจรไปมาเป็นไปอย่างยากลำบาก
นางไพจิตร กล่าวว่า บ้านของตนอยู่ในจุดที่ยังไม่มีแนวคันกันคลื่น จึงถูกคลื่นซัดกัดเซาะอย่างรุนแรงทำให้ตอม่อเสาบ้านหลุดหายจนบ้านทรุดเอียงทั้งหลังคงไม่สามารถอาศัยอยู่ในบ้านหลังดังกล่าวได้อีกต่อไป โดยก่อนหน้านี้ครอบครัวของตนได้ว่าจ้างรถแบคโฮมาทำแนวคันกันคลื่นชั่วคราวหมดเงินไปเกือบ 20,000 บาท แต่ไม่สามารถป้องกันคลื่นยักษ์ที่พัดถล่มอย่างรุนแรงได้ ซึ่งช่วง 2 ปี่ผ่านมาคลื่นที่พัดกระเซาะที่ดินของตนทำให้สวนมะพร้าว บ่อเลี้ยงปลาหายไปในทะเลหมดแล้ว ในปัจจุบันเหลือระยะอีก 30-40 เมตรบ้านของตนก็คงถูกทะเลกลืนไปทั้งหมดเช่นกันและคาดว่าในปีหน้าถนนสายหลักที่ไปยังปลายแหลมตะลุมพุกก็สุ่มเสี่ยงถูกคลื่นซัดกะเซาะขาดทำไมแหลมถล่มทุกกลายเป็นเกาะไปโดยปริยาย
ทางด้านนายไพโรจน์ หรือไพรี รัตนรัตน์ กล่าวว่าตนพร้อมด้วยนาย บุญโชค ขำปราง นายกองค์การบริหารส่วนตำบลปากพนังฝั่งตะวันออก นายประยุทธ์ ฐานะวัฒนา นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแหลมตะลุมพุก รวมทั้งชาวบ้านทุกคน พยายาม เรียกร้องให้รัฐบาล ยิ่งก่อสร้างแนวคันกั้นคลื่น ในส่วนที่เหลือ 8 กิโลเมตรให้แล้วเสร็จ โดยเร็วก่อนที่ไม่เกิน 2 ปีคลื่นยักษ์ที่พัดกัดเซาะจนถนน ไปแหลมตะลุมพุก ถูกตัดขาดจากแผ่นดินใหญ่ โดยการก่อสร้างติดระเบียบข้อกฎหมายใหม่ที่ประกาศใช้เมื่อปี 2566 ต้องผ่าน การทำ EIA ซึ่งต้องใช้ระยะเวลา 3-4 ปีกว่าจะผ่านขั้นตอนเสร็จสิ้น ในขณะที่ ประชาชนจะได้รับความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสทุกปีถึงวันนั้นจะไม่เหลือแม้แต่บ้านเรือนที่อยู่อาศัย และแน่นอนว่าแหลมตะลุมพุกถูกตัดขาดจากแผ่นดินใหญ่อย่างแน่นอน อยากเรียกร้องให้นางสาวแพรทองทานชินวัตรนายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับ เรื่องนี้ และเร่ง แก้ปัญหา ดำเนินการก่อสร้างแนวคันกั้นคลื่นในจุดที่เหลืออย่างเร่งด่วนที่สุด


ไพฑูรย์ อินศิลา/ นครศรีธรรมราช
13 ม.ค.2568

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *